ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส SARS-Cov-2 ที่เป็นสาเหตุของ COVID-19 นั้น อุตสาหกรรมเครื่องเขียนก็เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน ทั้งในฝั่งของผู้ผลิต (supply) และในฝั่งของความต้องการ (demand) ไรท์ติ้งอินไทยจึงออกบทบรรณาธิการ สำรวจผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมถึงคาดการณ์และบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในวาระก้าวสู่ปีที่ 4 ของเว็บไซต์
ท่านผู้อ่านไรท์ติ้งอินไทย อาจสังเกตว่า หลังการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่เริ่มต้นขึ้นช่วงปลายปี 2562 (หรือปี 2019) และกลายเป็นโรคระบาดไปทั่วโลกในต้นปี 2563 นั้น ทีมงานก็อัพเดตเว็บไซต์น้อยลง และรีวิวต่างๆ ก็เริ่มลดน้อยถอยลงไปตามลำดับ รวมถึงปีนี้ที่เป็นปีที่ครบรอบ 3 ปีของเว็บไซต์ ก็ไม่มีรีวิวชิ้นใหญ่หรือสำคัญออกมาให้เห็นกัน
อันที่จริงแล้ว ทีมงานยังมีปากกาที่รอการรีวิวอีกมาก แต่ทั้งหมดก็มาสะดุดเพราะการระบาดของโรค COVID-19 ที่ทำให้ทีมงานกองบรรณาธิการ มีความยากลำบากในการรวมตัว และทำงานร่วมกัน ซึ่งผลกระทบดังกล่าวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับทีมงานเท่านั้น แต่เกิดไปทั่วโลก ผู้คนจำนวนมาก บริษัทต่างๆ เปลี่ยนกระบวนการและวิธีการทำงานทั้งหมดไปทั้งสิ้น
อุตสาหกรรมเครื่องเขียนก็ไม่สามารถหนีพ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดครั้งนี้ด้วยเช่นกัน หลายบริษัทเองก็ต้องมีการปรับตัวกันขนานใหญ่ และการออกปากกาหรือเครื่องเขียนในปีที่แล้วก็ไม่ได้ออกถี่เช่นเดิมอีก
COVID-19 เปลี่ยนภาพและโฉมหน้าอุตสาหกรรมเครื่องเขียนไปอย่างไรบ้าง? บทบรรณาธิการกึ่งวิเคราะห์ชิ้นนี้จะมีคำตอบให้ แม้อาจจะไม่คำตอบที่สมบูรณ์แบบนัก
ความต้องการที่หดหาย กับสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป
![](https://writing.in.th/wp-content/uploads/2019/12/IMG_20191013_150922_DxO.jpg)
สิ่งแรกที่เกิดขึ้นเมื่อมีวิกฤติการแพร่ระบาดของโรค ความต้องการ (demand) เครื่องเขียนนั้นก็หายไป จากรายงานของ Euromonitor เมื่อเดือนมกราคมของปีนี้ (2564) พบว่าอุตสาหกรรมเครื่องเขียนของประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด แม้จะน้อยกว่าอุตสาหกรรมเครื่องประดับก็ตาม โดยมูลค่าของตลาดเหลือ 14,338 ล้านบาทโดยประมาณสำหรับปี 2563 (ส่วนปี 2562 อยู่ที่ 15,950 ล้านบาทโดยประมาณ) ซึ่งหดตัวต่ำลงกว่าปี 2560 และถือเป็นการหดตัวลงครั้งแรก หลังจากที่เติบโตมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558
แต่ถ้ามาดูในกลุ่มเครื่องเขียนหรู จะพบว่ามูลค่าตลาดลดลงจาก 348 ล้านบาทโดยประมาณเมื่อปี 2562 เหลือแค่ 226 ล้านบาทในปี 2563 คิดเป็นการลดลงมากถึง 35% และทำให้ตลาดเครื่องเขียนซบเซาลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ไรท์ติ้งอินไทยมักจะเล่นกับตลาดนี้เป็นหลัก เนื่องจากมักมีข่าวออกมามากกว่าเครื่องเขียนทั่วไป)
การหดตัวลงของปี 2563 นี้ สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ ที่หากพิจารณาจากตัวเลขของสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จะพบว่า GDP (ดัชนีมวลรวมในประเทศ) ของไทย ปรับตัวลดลงถึง -6.1% ที่ถือเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 22 ปี ซึ่งในเวลาที่คาดการณ์ถึงตัวเลขของปี 2564 ยังไม่มีการคาดการณ์การแพร่ระบาดรอบใหม่ (ปลายมีนาคม – เมษายน 2564) เข้าไปด้วย
สภาพดังกล่าวนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นกับเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ต่างประเทศยังเกิดขึ้นด้วย เช่นในสหรัฐอเมริกาที่ตลาดเครื่องเขียนระดับหรู มูลค่าลดลง 24.75% มาอยู่ที่ 91.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2563 เป็นต้น
ปัจจัยเรื่องความต้องการ (demand) ที่สอดรับกับสภาวะเศรษฐกิจ จึงเป็นมิติแรกที่เห็นได้อย่างชัดเจนสำหรับผลกระทบ เพราะความต้องการเครื่องเขียนกลับลดลง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตลาดหรูที่ลดลงมากกว่าภาพรวม
ผลิตและค้าขายไม่สะดวก มิติที่สองที่มาพร้อมกัน
ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคนั้นไม่ใช่มาจากมิติความต้องการที่หดหายแต่เพียงอย่างเดียว แต่มาพร้อมกับปัญหาที่เกิดขึ้นในฝั่งของอุปทาน (supply) ที่มีผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายในอุตสาหกรรมอยู่ที่ฝั่งนี้ด้วย
เริ่มที่ผู้ผลิตก่อนอันดับแรก เนื่องจากศูนย์กลางในการผลิตเครื่องเขียน (โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดหรู) มักอยู่ในยุโรป ซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดของโรคอยู่ช่วงหนึ่ง ทำให้ภาครัฐของยุโรปต้องออกมาตรการปิดเมือง รวมถึงมาตรการอื่นๆ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ย่อมกระทบกับความสามารถในการผลิตอย่างแน่นอน
![](https://writing.in.th/wp-content/uploads/2020/04/CSM_0107.jpg)
เราไม่รู้ว่าในเคสของแบรนด์ชั้นนำเช่น Montblanc หรือ LAMY เป็นอย่างไรบ้าง แต่กรณีที่แถลงตรงอย่างชัดเจนที่สุดคือกรณีของ Montegrappa ที่ต้องประกาศปิดโรงงานและระงับการผลิตชั่วคราว ทำให้สินค้าขาดไปอยู่ช่วงหนึ่ง หรืออย่าง Pelikan ที่เว็บไซต์ The Pelikan Perch สัมภาษณ์ผู้จัดการด้านฝ่ายการตลาดระบุว่า เจอสถานการณ์คล้ายๆ กัน แต่ในเคสของ Pelikan ก็มีการขาดแคลนของวัตถุดิบเสริมมาด้วย ซึ่งเมื่อการแพร่ระบาดของโรคกระจายไปทั่ว ย่อมทำให้หลากหลายบริษัทต้องมีมาตรการในการจัดกำลังคน รวมถึงการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ซึ่งท้ายที่สุดย่อมกระทบกับสายการผลิตไปโดยปริยาย
และที่ไม่กล่าวถึงคงไม่ได้ คือการยุติการผลิตชั่วคราวของ DTCI บริษัทไทยที่ผลิตปากกาลูกลื่น Lancer เมื่อเดือนเมษายน 2563 ที่กลายเป็นตัวอย่างสำคัญของผลกระทบของการแพร่ระบาด จนกระทั่งกลับมาดำเนินงานได้ใหม่เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 แต่ก็แลกมาด้วยยอดขายที่ลดลง 12.93% (บริษัทยังกำไร เนื่องจากลดค่าใช้จ่ายด้านอื่นชดเชย)
นอกจากฝั่งผู้ผลิตแล้ว ยังมีฝั่งตัวแทนจำหน่ายด้วยเช่นกันที่ได้รับผลกระทบจากการปิดห้างสรรพสินค้าหรือสถานที่ตั้งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Montblanc, LAMY, The Pips Cafe’, สมใจ, Medium & More, B2S เป็นต้น การปิดตัวของร้านค้าเหล่านี้ ซึ่งจุดขายอยู่ที่ประสบการณ์เขียนและการได้ลองสินค้าจริง (อันถือเป็นหัวใจของเครื่องเขียน) ย่อมทำให้ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ สะท้อนถึงตัวเลขยอดขายที่ตกลง และทำให้มูลค่าโดยรวมของอุตสาหกรรมโดยรวมทั้งหมดลดลงตามไปด้วย (ตามตัวเลขด้านบน)
การปรับเปลี่ยนสู่ปี 2564 ของอุตสาหกรรม
เมื่อสถานการณ์แย่ลงทั้งในฝั่งอุปสงค์ (ความต้องการ – demand) และอุปทาน (supply) มีปัญหาทั้งคู่ สิ่งที่เกิดขึ้นคือการปรับตัวของอุตสาหกรรมโดยรวมที่ต้องปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
สิ่งที่เห็นชัดเจนประการแรก คือ การที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายต่างๆ ต้องหันมาใช้วิธีจัดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ แทน ไม่ว่าจะเป็นการใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่แต่เดิมก็ใช้อยู่แล้ว เช่น Facebook, Instagram หรือเพิ่มช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ เช่น ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Shopee, Lazada เป็นต้น หรืออย่างในกรณีของ พิลีแกนประเทศไทย (Pelikan) ที่เริ่มรุกหนักในตลาดออนไลน์มากขึ้น (ล่าสุดไปวางจำหน่ายใน Shopat24 แล้ว) ก็ถือเป็นการปรับตัวประการแรกๆ ที่ทำได้ของผู้จัดจำหน่าย
![](https://writing.in.th/wp-content/uploads/2019/07/CSM_0568.jpg)
ประการต่อมาคือการให้ส่วนลด ซึ่งบางแบรนด์อย่างเช่น Caran d’Ache หรือ Sailor มีการให้ส่วนลดเกือบจะทั้งปีสำหรับผู้ที่ซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ของตัวแทนจำหน่าย หรือ Kaweco ที่ประกาศปรับลดราคาจำหน่ายในประเทศไทย ทำให้ดึงดูดใจคนที่อยากได้เครื่องเขียนมากขึ้น ซึ่งในมุมกลับกัน หมายถึงผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย ต้องเลือกที่จะเสียกำไรส่วนต่าง (margin) ในการทำธุรกิจไปด้วย และย่อมกระทบต่อฐานะทางการเงินของบริษัทเหล่านี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
ประการสุดท้ายคือ การปล่อยสินค้ารุ่นใหม่แบบจำกัดของผู้ผลิต ซึ่งหลังจากสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ผู้ผลิตบางเจ้าเช่น Montegrappa ก็ตัดสินใจเปิดตัวรุ่นใหม่มาทีเดียว 5 รุ่นรวด หรือ Caran d’Ache ที่ตัดสินใจเปิดตัว Paul Smith รุ่น 3 มาวางจำหน่าย ซึ่งก็สร้างความต้องการจากตลาดได้ดี
อย่างไรก็ตาม แนวทางทั้งสามนี้อาจไม่ได้มีส่วนช่วยกับอุตสาหกรรมมากนัก จากรายงานของ Euromonitor คาดการณ์ว่าตลาดของเครื่องเขียนในประเทศไทยจะหดตัวลงอีกในช่วงปี 2564-2567 ที่จะอยู่ในระดับ 13,000 ล้านบาท ก่อนที่จะกลับมายืนที่ 14,000 ล้านบาทในปี 2568 ส่วนตลาดเครื่องเขียนหรูนั้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ไปแตะที่ระดับ 260 ล้านบาทในปี 2567 จากระดับของปี 2563
ตัวเลขของรายงานที่ออกมาข้างต้น แสดงให้เห็นว่าตลาดและอุตสาหกรรมเครื่องเขียนของประเทศไทย จะตกอยู่ในสภาวะแคะแกร็น และไม่น่าจะเติบโตได้ดีกว่านี้จนกว่าสภาวะการระบาดจะยุติ และเศรษฐกิจไทยกลับเข้าร่องเข้ารอย ซึ่งในส่วนหลังนี้อาจไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก เนื่องจากการระบาดของโรค ส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ที่มาพร้อมกับการฟื้นตัวของประเทศที่ไม่เต็มที่ และเมื่อผสมโรงกับปัจจัยอื่นๆ แล้ว ย่อมหมายความว่าสภาพเศรษฐกิจไทยจะอยู่ในสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยไปอีกนาน และอุตสาหกรรมเครื่องเขียนจะหยุดนิ่งอยู่กับที่
สำหรับผู้ประกอบการ การหาจุดแตกต่างจะกลายเป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่นการมาถึงของร้านเครื่องเขียนอย่าง Studio 360 ที่มาพร้อมกับบริการใหม่อย่างบริการผสมสีด้วยตนเองก็ถือเป็นอีกหนึ่งที่ทำให้ร้านตนเองเกิดความแตกต่างขึ้น และดึงดูดผู้บริโภคให้เข้ามาใช้บริการ หรือการนำเอาสินค้าแปลกใหม่ที่ผลิตขึ้นมาจำนวนจำกัด ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่สามารถดึงดูดผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
![Pilot Custom 74](https://writing.in.th/wp-content/uploads/2019/01/IMG_20181210_124043_DxO-min-1024x768.jpg)
สรุป: กระทบหนักและดูเหมือนจะไม่เติบโตอีก
ต้องยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมาก่อนการระบาดของ COVID-19 อุตสาหกรรมเครื่องเขียนของไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของเครื่องเขียนหรู ทว่าหลังจากการแพร่ระบาดแล้ว พบว่าอุตสาหกรรมนี้กลับหดตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหดตัวอย่างรุนแรงในกลุ่มเครื่องเขียนหรูที่ลดลงถึง 35%
การหดตัวลงนี้ เป็นผลกระทบทั้งความต้องการจากตลาดที่มากับสภาวะเศรษฐกิจ และความสามารถในการผลิตหรือจัดจำหน่ายสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด จนทำให้แผนงานของบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายต่างๆ ต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งจากรายงานของ Euromonitor แสดงให้เห็นว่าการปรับตัวลดลงดังกล่าวนี้ ลดลงอย่างมาก และแนวโน้มคงยากที่จะกลับมาเติบโตอีกครั้งในระยะเวลาอันใกล้นี้
แม้ผู้ประกอบการจำนวนมากต่างเลือกที่จะใช้กลยุทธ์ทั้งการขายในช่องทางใหม่ๆ หรือการให้ส่วนลดและนำเอาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้ามาเพื่อสร้างแรงจูงใจ แต่ต้องไม่ลืมว่าด้วยสภาพเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมที่น่าจะฟื้นตัวได้ช้า ย่อมทำให้การเติบโตแบบในอดีตเป็นไปได้ยาก และมูลค่าของตลาดโดยรวมก็ยากที่จะกลับมาเท่าเดิม อย่างน้อยที่สุดก็ในช่วง 5 ปีนับจากนี้ (หากการคาดการณ์ของรายงานนั้นถูกต้อง)
ไรท์ติ้งอินไทยในฐานะสื่อมวลชนออนไลน์เฉพาะทางด้านเครื่องเขียน คงมิอาจมีคำตอบว่าในอนาคตตลาดเครื่องเขียนจะเป็นอย่างไรบ้าง รวมถึงสภาพเศรษฐกิจโดยรวม สิ่งเดียวที่เราบอกกับทุกท่านได้คงมีแต่เพียงว่า เรายังจะคงยึดมั่นในการนำเสนอข้อมูลต่างๆ อย่างต่อเนื่องเช่นเดิม รวมถึงรายงานความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่ได้แต่หวังว่าจะกลับมาคึกคัก เฉกเช่นก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19
“ขอให้ทุกท่านโชคดี”
You must be logged in to post a comment.