27 เมษายน 2024
รีวิวรีวิวเครื่องเขียนรีวิวปากกาหมึกซึม Pilot Vanishing Point

รีวิวปากกาหมึกซึม Pilot Vanishing Point

ปากกาหมึกซึมที่อัดแน่นไปด้วยแนวคิดทางวิศวกรรม ประดิษฐกรรมร่วมสมัยของเครื่องเขียน

หากกล่าวถึงปากกาหมึกซึมที่ได้รับการยอมรับในเชิงวิศวกรรม Pilot Vanishing Point น่าจะเป็นปากกาอันดับต้นๆ ด้วยการผสานระหว่างปากกาหมึกซึมและปากกาลูกลื่นเข้าด้วยกัน ทำให้กลายเป็นหนึ่งในปากกาหมึกซึมที่ถูกกล่าวขาน ในฐานะนวัตกรรมที่ทำให้ปากกาหมึกซึม กลับมาอยู่ในรูปแบบของปากกาสมัยใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ไรท์ติ้งอินไทย ได้ปากกาด้ามนี้มา และวันนี้ทีมงานจะมารีวิวปากกาด้ามนี้ให้ท่านผู้อ่านกันครับ

Pilot Vanishing Point ในฐานะผลิตผลของวิศวกรรม

หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับปากกาหมึกซึมในรูปแบบของฝาปิด ไม่ว่าจะเป็นการหมุนปิด (twist open) หรือการใช้ปลอกปิดตรงๆ (snap cap) แต่ปากกาหมึกซึมในรูปแบบเดียวกับปากกาลูกลื่น ที่เป็นแบบกดปุ่มหรือหมุนแล้วเปิดหัวออกมาเขียน แบบเดียวกับปากกาลูกลื่น (retractable nib) เป็นสิ่งที่ค่อนข้างใหม่มาก และยังมีอยู่เพียงไม่กี่รุ่น เช่น Heritage 1912 หรือ Bohéme จาก Montblanc

แต่กรณีของปากกาที่สามารถเก็บหัวปากกาแล้วไม่ต้องใช้ปลอกปากกาเลย เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ในปัจจุบันมีผู้ผลิตเพียง 2 เจ้าที่เป็นที่รู้จักกันดีในตลาดคือ dialog 3 ของ LAMY และที่โด่งดังที่สุดคือ Vanishing Pointหรือ Capless จาก Pilot ผู้ผลิตเครื่องเขียนรายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นและหนึ่งในผู้ผลิตเครื่องเขียนรายสำคัญของโลก

Pilot Vanishing Point
Pilot Vanishing Point

Pilot เป็นหนึ่งใน 3 บริษัทใหญ่แห่งโลกเครื่องเขียน (อีก 2 เจ้าคือ Platinum และ Sailor) ของประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1918 โดย Ryosuke Namiki และ Masao Wada ในชื่อ Namiki Manufacturing Company จากนั้นจึงเปลี่ยนชื่อเป็น Pilot ในปี ค.ศ. 1938 และผลิตเครื่องเขียนกับเครื่องประดับเรื่อยมา แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือปากกา

ปัจจุบันบริษัทมีแบรนด์สินค้าอยู่ 2 แบรนด์หลักคือ Pilot ที่ทำปากกาทุกประเภทและทุกแบบ รวมถึงทุกช่วงราคา และ Namiki แบรนด์ระดับพรีเมียมในกลุ่มปากกาหมึกซึมและโรลเลอร์บอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งปากกาที่ตัวด้ามใช้เทคนิค Maki-e (อ่านว่า มากิ-เย) ที่เป็นเทคนิคงานศิลปะขั้นสูงของญี่ปุ่น โดยการวาดภาพแล้วโรยด้วยผงทองหรือสีที่มาจากโลหะต่างๆ ก่อนจะเคลือบทับด้วยแลกเกอร์อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งทำให้ปากกาของ Namiki มีราคาแพงมากกว่าปกติทั่วไป

สำหรับ Pilot Vanishing Point เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ปากกาหมึกซึมของบริษัท ถูกนำออกสู่ตลาดครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1963 (คู่แข่งอย่าง Platinum ออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1965 แต่ก็เลิกผลิตไปแล้ว) โดยถือเป็นปากกาหมึกซึมรุ่นแรกในตลาดที่ใช้กลไกแบบหมุน (twist-open) แบบเดียวกับปากกาหมึกซึม เพื่อให้หัวปากกาออกมาและเก็บกลับเข้าไป โดยที่ไม่ต้องใช้ฝาปลอกปากกาเสียบเก็บแบบเดียวกับปากกาหมึกซึมอื่นๆ ในเวลานั้น จากนั้นในปี ค.ศ. 1964 จึงออกปากกาโดยใช้กลไกปุ่มกด (knock-on หรือ click) แบบเดียวกับปากกาลูกลื่นที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน

ภาพของปากกาที่ทำตลาดในประเทศญี่ปุ่นด้วยชื่อ Capless (ที่มา: Pilot Corporation)
ภาพของปากกาที่ทำตลาดในประเทศญี่ปุ่นด้วยชื่อ Capless (ที่มา: Pilot Corporation)

เนื่องจากเป็นปากกาหมึกซึมรุ่นแรกที่ไม่ใช้ปลอกปากกา ทำให้เป็นปากกาหมึกซึมรุ่นแรกที่ได้รับการกล่าวขานอย่างมากว่าเปลี่ยนแปลงแนวคิดเกี่ยวกับปากกาหมึกซึมไปโดยสิ้นเชิง และในตอนแรกปากการุ่นนี้ถูกทำตลาดโดยใช้ชื่อว่า Capless เพื่อสื่อถึงปากกาหมึกซึมที่ไม่มีปลอก แต่ในปี ค.ศ. 1973 บริษัทจึงเริ่มใช้ชื่อ Vanishing Point ทำตลาดในบางประเทศ (เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย) ส่วนชื่อ Capless ยังคงใช้ในแถบประเทศยุโรปและญี่ปุ่นเป็นหลัก ดังนั้นในหลายครั้งเราจึงเห็นรีวิวปากการุ่นนี้ในชื่อแตกต่างกันไป (สำหรับไรท์ติ้งอินไทย เราขอยึดตามชื่อทำการตลาดในสหรัฐอเมริกา)

ความสำคัญของปากการุ่นนี้อยู่ที่กลไกที่ Pilot เลือกที่จะออกแบบหัวปากกาและกลไกของการกดแยกออกจากกัน กล่าวคือใช้แนวคิดแบบปากกาลูกลื่น ที่หัวปากกา รางจ่ายหมึก และที่ใส่หมึก แยกออกมาจากตัวด้ามปากกาอย่างชัดเจน (เรียกว่า nib unit) ส่วนกลไกในการกดอยู่ภายในปากกา ส่วนหัวของปากกามีช่องที่ถูกปิดด้วยประตู (door) ที่จะถูกดันเปิดด้วยหัวปากกาและรางจ่ายหมึก ภายในนั้นจะถูกปิดสนิท ทำให้หมึกไม่ระเหย และยังพร้อมเขียนอยู่เสมอ จึงถือได้ว่าเป็นผลิตผลของวิศวกรรมอย่างยาวนานที่ทำให้ปากกาหมึกซึม สามารถอยู่ในรูปร่างใหม่ได้

โครงสร้างการทำงานของปากกา (ที่มา: Pilot Corporation)
โครงสร้างการทำงานของปากกา (ที่มา: Pilot Corporation)

การออกแบบของ Vanishing Point เองก็เป็นอีกจุดที่ได้รับการขนานถึงความแปลก เพราะเป็นปากการุ่นแรกที่หัวปากกาอยู่ตำแหน่งเดียวกับแหนบ (คลิปปากกา) เพราะเวลาจัดเก็บขึ้น หัวปากกาจะชี้หงายขึ้น เป็นการป้องกันเหตุการณ์หมึกปากการั่ว และนี่จึงทำให้ตำแหน่งการจับและเขียนของปากการุ่นนี้ แปลกกว่าคนอื่นด้วย ส่วนการออกแบบอื่นๆ ก็มีการปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา โดยรูปแบบในปัจจุบันเป็นแบบที่ได้รับการออกแบบมาเมื่อปี ค.ศ. 1998 และมีการปรับเปลี่ยนอีกเล็กน้อยในรุ่นพิเศษ แต่โดยรวมแล้วแทบไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เลยนับจากนั้น

Vanishing Point เคยถูกทำตลาดทั้งในแบรนด์ Pilot และ Namiki โดยรุ่นที่เป็น Namiki มักจะมีราคาแพงกว่าทั้งของใหม่และมือสองที่จำหน่ายในตลาดรอง แต่มาภายหลัง บริษัทได้ตัดสินใจใช้แบรนด์ Pilot อย่างเดียวกับปากการุ่นนี้ โดยรุ่นที่เป็น Namiki มักมีการออกแบบพิเศษ (เช่นทรง 8 เหลี่ยม) ทำให้มีราคาค่าตัวที่สูงกว่าในตลาด ปัจจุบันราคามือสองยังอยู่ที่ระดับเกือบ 1 หมื่นบาทในสภาพใช้งาน และถ้าเป็นสภาพใหม่ก็จะอยู่ที่หลักหมื่นแทบทั้งสิ้น

รุ่นย่อยของ Pilot Vanishing Point

หากแบ่งโดยคร่าว ในปัจจุบันบริษัทมีรุ่นย่อยของปากการุ่นนี้ จำนวนทั้งหมด 6 รุ่นด้วยกัน ดังต่อไปนี้

  • Vanishing Point / Capless รุ่นปกติ วางจำหน่ายครั้งแรกปี ค.ศ. 1998 สามารถแบ่งย่อยได้อีก 2 รุ่น ดังนี้
    • รุ่นที่ใช้หัวปกติ (special alloy nib) ที่ใช้โลหะผสมแบบพิเศษทำเป็นหัวปากกา รุ่นนี้มีราคาถูกที่สุด (ประมาณ 2,300 บาท) และจำหน่ายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น รหัสการผลิตขึ้นต้นด้วย FCN-1MR จุดสังเกตคือหัวเขียนจะไม่มีการระบุค่าความบริสุทธิ์ของทองเอาไว้ (เช่น 18K-750) และเป็นรุ่นเดียวที่ไม่ใช่หัวทองคำ
    • รุ่นหัวทองคำ 18 กะรัต เป็นรุ่นที่มีวางจำหน่ายทั่วโลกและมีสีสันจำนวนมาก รหัสการผลิตขึ้นด้วย FC-15SR หรือ FC-18SR ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 3,500 บาทขึ้นไป
  • Fermo เป็นรุ่นเดียวที่ใช้วิธีหมุนท้ายปากกาเพื่อเปิดหัวปากกาออกมา แบบเดียวกับรุ่นแรกที่ปล่อยเมื่อปี ค.ศ. 1963 รหัสการผลิตเป็น FCF-2MR วางจำหน่ายครั้งแรกปี ค.ศ. 2006
  • Wood เป็นรุ่นที่ใช้วัสดุตัวด้ามเป็นไม้ แทนที่จะเป็นเรซินหรือพลาสติก รหัสการผลิต FC-25SK ปัจจุบันหาได้เฉพาะในประเทศญี่ปุ่น เป็นรุ่นย่อยจากรุ่นหลักอีกทีหนึ่งที่เปลี่ยนเฉพาะวัสดุเท่านั้น
  • Decimo (บางแห่งไม่ใช้ชื่อ Vanishing Point หรือ Capless ในการทำตลาด) มีรูปร่างที่ผอมบางกว่าปกติ รหัสการผลิต FCT-15SR วางจำหน่ายครั้งแรกปี ค.ศ. 2005 ที่ใช้ชื่อนี้เพราะถือเป็นรุ่นย่อยที่ 10 นับตั้งแต่ผลิตปากกาแบบนี้มา
  • Raden เป็นปากกาที่แพงที่สุดในทุกรุ่น ทำมาจากเปลือกหอยเป๋าฮื้อและหอยมุก พร้อมเคลือบแลกเกอร์ (urushi) ของญี่ปุ่น เคยวางจำหน่ายในชื่อ Namiki มาก่อน รหัสการผลิต FCN-5MP และวางจำหน่ายครั้งแรกปี ค.ศ. 2013 ปัจจุบันยุติการผลิตไปแล้ว ของที่เหลืออยู่ในตลาดจึงเป็นของเดิม และเป็นที่นิยมหาเล่นกันในท้องตลาดอย่างมาก ส่วนราคาว่ากันที่หลักหมื่นขึ้นไปไม่ว่าจะในตลาดแรกหรือตลาดรอง (ถ้าหาได้ต่ำกว่านี้ ถือว่าโชคดีอย่างมาก)

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีรุ่นที่ใช้หัวปากกาเป็นทองคำ 14 กะรัตเช่นกัน แต่ปัจจุบันบริษัทได้เลิกผลิตไปหมดแล้ว และในบางตลาดบริษัทก็วางจำหน่ายรุ่นที่เป็นปากกาลูกลื่นจริงๆ เช่นในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น (รหัสรุ่น VPGBP)

ข่าวดีก็คือ ทุกรุ่นใช้ชุดหัวปากกา (nib unit) แบบเดียวกันหมด เปิดทางให้เปลี่ยนและสลับใช้กันได้ตามใจชอบ รวมถึงสามารถซื้อแยกกันได้ อย่างไรก็ตามตัวชุดหัวปากกานี้มีราคาสูงถึง 60-70% ของราคาแท่งใหม่ ดังนั้นใครที่อยากจะเปลี่ยนหัวจริงๆ อาจจะต้องคิดเล็กน้อยว่าซื้อใหม่คุ้มกว่าหรือไม่

แกะกล่องปากกา

ทีมงานได้ปากกาด้ามนี้มาจากประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นบรรจุภัณฑ์อาจแตกต่างจากประเทศอื่นที่วางจำหน่าย นอกจากนั้นแล้วปากกายังใช้ชื่อว่า Capless ที่เป็นชื่อดั้งเดิมด้วย

กล่องด้านนอกเป็นกระดาษแข็ง ทำโลโก้และตรา Pilot เอาไว้เรียบง่าย ใช้สีขาวดำ

แกะออกมา กล่องด้านในเป็นพลาสติกใส ใช้วิธีการยกเปิดฝาออกตามปกติ ภายในนอกจากตัวปากกาก็ประกอบไปด้วยคู่มือการดูแล และหมึกหลอดแต่เพียงอย่างเดียว

สำหรับปากการุ่นนี้ ท่านสามารถซื้อ CON-20 ที่เป็นหลอดสูบหมึกแบบบีบอัดไล่อากาศ เวลาเติมหมึกต้องบีบไปบริเวณที่กำหนด, CON-50 ที่เป็นหลอดสูบหมึกแบบหมุน (piston converter) หรือ CON-40 ที่ออกแบบมาแทนที่ตัว 50 เดิม หรือหลอดหมึกของ Pilot มาใส่ได้ (แต่ต้องใส่ตัวกัน หรือ Catridge cover ด้วย) ทั้งนี้ หลอดสูบหมึกแบบ CON-40 หรือ CON-50 จุหมึกได้น้อยมากๆ จนน่าตกใจ ดังนั้นควรคิดถึงในมิตินี้นะครับ

เช่นเดียวกับปากการุ่นอื่นๆ จากบริษัทนี้ ผู้ที่มี International Standard Converter หรือหมึกที่ใช้ช่องแบบมาตรฐานสากล จะไม่สามารถใช้ในปากการุ่นนี้ได้ครับ (คุกกระจกอันสวยงามของ ecosystem)

แหนบปากกามีติดป้ายระบุชื่อรุ่น (Capless) ด้านหลังมีรหัสแท่ง (barcode) พร้อมรหัสรุ่น และราคาวางจำหน่ายที่แนะนำอยู่ที่ 15,000 เยน (ประมาณ 4,400 บาท) ซึ่งเป็นราคาไม่รวมภาษีท้องถิ่น

ลองจับตัวปากกา

ทันทีที่เราหยิบปากกาขึ้นมา ทีมงานสัมผัสได้ถึงน้ำหนักของปากกาด้ามนี้ที่อาจจะมากกว่าปกติอยู่เล็กน้อย เมื่อเทียบกับปากกาหมึกซึมในขนาดที่ใกล้เคียงกัน เช่น Caran d’Ache 849 รูปทรงของปากกาเหมือนจรวดหรือขีปนาวุธ ส่วนการออกแบบถือว่าแปลกมาก โดดเด่นไม่ซ้ำใคร ส่วนเรื่องสีสัน ต้องบอกว่าสีที่ทีมงานเลือกเป็นสไตล์แบบคลาสสิค ไม่มีตกแต่งอะไรเลยทั้งสิ้น เป็นสีดำเรียบๆ

ทีมงานยังไม่แน่ใจเรื่องวัสดุว่าตกลงแล้ว ส่วนที่เป็นเงาคือวัสดุประเภทใด ระหว่างเรซิน หรือ แลกเกอร์ เพราะข้อมูลที่ได้ไม่ตรงกัน บางแห่งบอกเป็นเรซิน บางแห่งบอกเป็นแลกเกอร์เคลือบ

จุดแรกที่เป็นจุดเด่นชัดมากๆ คือปากกาด้ามนี้เป็นปากกาหมึกซึมที่มีการวางหัวคลิปกลับด้านจากปกติ กล่าวคือ หัวปากกาอยู่ด้านบนตำแหน่งเดียวกับคลิปนั่นเอง โดยจะมีช่อง ซึ่งภายในจะมีประตู (door) ปิดหัวปากกาเอาไว้อย่างแน่นหนา ทำให้หมึกไม่ระเหยและไม่หกเลอะเทอะ

และแน่นอนว่าตอนใช้ ตัวคลิปก็จะเป็นส่วนที่คั่นระหว่านิ้วที่เราจับครับ ใครจับท่าที่ไม่ถนัดก็มีรำคาญได้

พอเรากดออกมา หัวปากกาก็จะโผล่ออกมาแบบนี้ (รุ่นที่เรามารีวิวเป็นหัวปากกาขนาดเส้นไซส์ M ใช้ทองคำที่ความบริสุทธิ์ 18 กะรัต เป็นวัสดุ)

ส่วนกลไกการกดนั้นไปอยู่ที่ด้านท้ายของปากกาครับ เมื่อกดเข้าไปส่วนหัวปากกาจะออกมาอีกด้านหนึ่ง

การออกแบบเช่นนี้ ทีมงานเชื่อว่าทางบริษัทน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากปากกาลูกลื่น ที่มีการแยกไส้กับกลไกการกดออกจากกัน เพราะการออกแบบปากการุ่นนี้ กลไกของการกดเป็นอิสระจากกลไกของปากกาและรางจ่ายหมึก กล่าวคือ หัวปากกาและตัวรางจ่ายหมึก รวมถึงโครงสร้างของกลไกปากกาที่เป็นส่วนปากกาทั้งหมด เป็นโมดูลที่แยกอิสระจากตัวปากกา เรียกว่า nib unit ทำให้การเติมหมึกปากการุ่นนี้ ใช้วิธีการถอดตัวด้ามออกมาโดยหมุน แล้วจากนั้นดึง nib unit ออกมาเติมเหมือนปากกาหมึกซึมปกติ จากนั้นจึงใส่เข้าไปในตัวด้าม

หัวปากกา ทองคำ 18 กะรัต
หัวปากกา ทองคำ 18 กะรัต

วิธีนี้มีข้อดีคือเปลี่ยนเส้นของปากกาหรือหัวปากกาได้ง่ายๆ แค่เปลี่ยน nib unit แต่ข้อเสียคือราคาของ unit ที่แพงมากถึงประมาณ 70% ของราคาปากกาทั้งหมด

หน้าตา Nib Unit
หน้าตา Nib Unit

การนำตัว nib unit ออกมา ต้องหมุนตัวปากกาออกมาจากจุดนี้ที่เป็นจุดเชื่อมกันระหว่างตัวปากกาส่วนหน้าและส่วนหลังครับ ส่วนการใส่โมดูลปากกา ทีมงานแนะนำให้ค่อยๆ ใส่อย่างระมัดระวัง (กันหัวปากกากระแทกกับชิ้นส่วนภายในจนเสียหาย) โดยใส่หัวปากกาเข้าไปด้านหัวที่กำหนดเอาไว้ครับ

ทดลองเขียนและใช้งาน Pilot Vanishing Point

ทีมงานทดสอบเขียนปากการุ่นนี้ โดยใช้หมึก Pilot Iroshizuku Kon-Peki และใช้กระดาษ Quality A4 ที่ความหนา 80 แกรม (gsm)

ทีมงานพบว่าปากการุ่นนี้ค่อนข้างเรื่องมากเป็นพิเศษ กล่าวคือหัวปากกาจะเขียนได้ดีในบางมิติบางมุมเท่านั้น เช่น ถ้าลากเส้นจากขวาไปซ้าย หมึกจะไหลได้ดี แต่ถ้าเป็นซ้ายไปขวา หมึกจะขาดๆ ส่วนถ้าลากจากล่างขึ้นบน เส้นจะไม่มีปัญหาขาด แต่จากบนลงล่างจะมีปัญหา นอกนั้นแล้วถ้าตั้งองศาไม่ถูกต้อง ก็จะเขียนได้ยากมากๆ

ตอนแรกทีมงานเข้าใจว่าหัวปากกามีปัญหา ทำให้เกิดอาการเช่นว่านี้ แต่เมื่อใช้แว่นขยายที่ความละเอียด 40 เท่าส่องแล้ว ก็ไม่มีปัญหาเรื่องหัวเบี้ยวหรือไม่ได้ระดับ จากนั้นทีมงานจึงทดสอบโดยการดึงเฉพาะ nib unit ออกมาเขียน ปากกาก็ไม่มีปัญหาอะไร จึงได้ข้อสรุปว่าตำแหน่งและการจับตัวด้ามปากกา โดยเฉพาะที่มีคลิปหรือแหนบปากกามาคั่นตรงกลาง ทำให้มือถูกบังคับ และเขียนไม่ชินนั่นเอง จนทำให้เส้นต่างๆ ขาดไป นับว่าเป็นปากกาที่มีลักษณะของการบังคับให้เขียนมากที่สุดด้ามหนึ่ง ไม่ต่างจาก LAMY 2000 ที่เคยรีวิวไปแล้ว

หากตัดมิติของการเขียนที่จำกัดเพราะตัวด้ามปากกาไป ต้องบอกว่าในจังหวะที่เขียน ปากกาด้ามนี้เขียนได้ลื่นมากกว่าที่คิด แม้ว่าจะเขียนกลับหัว (reverse writing) ไม่ได้เลยก็ตาม ไหลลื่น ไม่มีอาการกินเนื้อกระดาษ นอกจากนั้นแล้วยังเขียนได้ดี ให้เส้นที่มีคุณภาพ ข้อสังเกตทีมงานประการหนึ่งคือ ขนาดเส้นที่ไม่ได้ใช้การแบ่งเส้นแบบญี่ปุ่น ที่ปกติแล้วขนาดเส้นของญี่ปุ่นจะเล็กกว่าเส้นของตะวันตกอยู่ 1 ระดับ (เช่น M ของแบรนด์ตะวันตก เทียบเท่ากับ B ของญี่ปุ่น หรือ F ของตะวันตก เท่ากับ M ของญี่ปุ่น) แต่ทำตามมาตรฐานตะวันตก ดังนั้นไซส์ M ที่ออกมา จึงเป็นไซส์ M แบบตะวันตก

จุดที่ทีมงานปวดหัวที่สุด คือจุดที่หัวปากกาออกมาจากตัวปากกา เนื่องจากเป็นจุดที่มีคราบน้ำหมึกติดสะสมอยู่ การล้างทำได้ยากมากกว่าที่คิด ดังนั้นแล้วใครที่ต้องการเปลี่ยนหมึกบ่อยๆ (ต่างหมึก ต่างสี) หรือต้องการใช้หมึกที่ติดถาวร ทีมงานไม่แนะนำปากกาด้ามนี้โดยเด็ดขาดเพราะขั้นตอนการล้างไม่ใช่ง่ายๆ และถ้าหากล้างเฉพาะ nib unit อย่างเดียว แล้วเปลี่ยนหมึก หมึกเดิมที่ตกค้างอยู่ในตัวด้ามปากกาจะยังคงไหลออกมาปะปนกับหมึกใหม่ เป็นสภาพที่ไม่น่าชมอย่างยิ่ง

ริ้วรอย หลังจากใช้ได้ไม่นานนัก
ริ้วรอยและลายนิ้วมือ หลังจากใช้ได้ไม่นานนัก

นอกเหนือจากนั้นแล้ว รุ่นที่ทีมงานได้รับ ยังเป็นรอยง่าย และมีคราบลายนิ้วมือเต็มไปหมดเมื่อใช้งานได้ไม่นาน ทีมงานต้องเช็ดปากกาอยู่เป็นประจำเพื่อให้เงางามเหมือนตอนซื้อใหม่ เรียกว่าดูแลยากกว่าปากกาอย่าง Montblanc Meisterstück 149 ไปมากโข

สรุป

Pilot Vanishing Point
Pilot Vanishing Point

คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า Pilot Vanishing Point เป็นหนึ่งในปากกาหมึกซึมที่ฉีกตลาด แนวคิด และรูปแบบของปากกาหมึกซึมไปมาก อาจเรียกได้ว่านี่เป็นหนึ่งในปากกาที่ “คิดใหม่ ทำใหม่” (reinvented) กับปากกาหมึกซึมอย่างแท้จริง คงไม่เป็นการกล่าวที่เกินจริงว่า ด้วยความเก่งกาจทางวิศวกรรม ทำให้ปากกาหมึกซึมที่เราคุ้นเคยกันในแบบเดิม สามารถเปลี่ยนมาเป็นปากกาในรูปแบบนี้ได้ และปากการุ่นนี้ย่อมเป็นปากกาหมึกซึมที่มีผลงานอัดแน่นในทางวิศวกรรมมากเป็นอันดับต้นๆ

อย่างไรก็ตาม การคิดใหม่ทำใหม่นี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียอยู่เลย สำหรับคนที่จับคอปากกา (section) ที่ค่อนข้างชิด การมีแหนบหรือคลิปแทรกอยู่ตรงกลางทำให้เขียนไม่สะดวก รวมถึงทำให้การจัดท่าในตอนเขียนไม่เป็นธรรมชาติ กรณีของทีมงานพบว่าหัวปากกาเมื่อทำงานร่วมกับตัวด้าม ให้ผลลัพธ์และช่วงการเขียนที่แคบ เราพบว่าการดึง nib unit ออกมาเขียนในหลายครั้งก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เพราะไม่ต้องเกร็งมือให้อยู่ในองศาที่เขียน

ถ้าเขียนได้โดยไม่มีปัญหาอะไร นี่คือหนึ่งในปากกาที่เขียนดี เขียนนุ่ม เป็นอันดับต้นๆ ของเว็บ หัวปากกาแม้จะแคบและเล็ก แต่ก็สามารถเขียนได้อย่างสนุกสนานและลื่นอย่างมาก

นอกจากปัญหาเรื่องการเขียนที่ค่อนข้างจะต้องตามใจตัวปากกาแล้ว ยังมีเรื่องของการทำความสะอาดของปากกาที่ยากมากในระดับที่อาจเรียกได้ว่า เป็นความปวดหัวเลยทีเดียว ทีมงานแนะนำว่าควรวางแผนดีๆ และพยายามใช้หมึกสีเดียวกันตลอด รวมถึงหลีกเลี่ยงหมึกกันน้ำที่จะล้างได้ยากหรือล้างไม่ออกด้วย

คู่แข่งของปากกาหมึกซึม Pilot Vanishing Point

ถ้าหาท่านไม่ชอบดีไซน์หรือการออกแบบของปากการุ่นนี้ มีเพียงอีกยี่ห้อและรุ่นเดียวที่มีคุณสมบัติเหมือนๆ กัน คือ LAMY dialog 3 เท่านั้นที่ท่านจะได้ใช้ปากการูปแบบนี้ อย่างไรก็ตามปากการุ่นดังกล่าวมีน้ำหนักมากกว่าปากกาที่นำมารีวิวในวันนี้ และราคายังคงแพงกว่าด้วย (ราคาที่ทีมงานเคยเจอคือ 11,800 บาท) ข้อดีประการเดียวคือ dialog 3 มีวางขายในประเทศไทยผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ทำให้การรับประกันยังคงต่อเนื่อง และมั่นใจได้ว่าถ้ากลไกเสียจะมีที่ซ่อมแน่นอน

แหล่งที่ซื้อ

สำหรับ Pilot Vanishing Point หรือ Capless เป็นปากกาที่ไม่มีวางจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการ หนทางเดียวที่จะได้มาในครอบครอง คือต้องซื้อจากต่างประเทศเท่านั้น หลายรุ่นก็เลิกวางจำหน่ายไปแล้ว นอกจากนั้นศูนย์บริการของ Pilot ประเทศไทยเองก็ไม่น่าจะซ่อมปากการุ่นนี้ได้

คำแนะนำของทีมงานคงเป็นว่า ถ้าหากท่านต้องการจะซื้อปากการุ่นนี้ ท่านผู้อ่านจำเป็นต้องแบกรับความเสี่ยงทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการส่งกลับไปซ่อมด้วย ดังนั้นควรต้องคิดถึงในจุดนี้ให้ดีครับ

ข้อดีข้อเสีย
ปากกาหมึกซึมที่อัดแนวคิดทางวิศวกรรมช่วงและการเขียน ตลอดจนถึงการจับ ทำให้เขียนได้ยาก
รูปร่างแปลกตาจากปากกาทั่วไปล้างยากมาก ในกรณีที่ต้องเปลี่ยนหมึกก็ทำได้ยากยิ่ง
เปลี่ยน nib unit ได้Nib unit มีราคาแพงมาก
 ปากกาเป็นรอยง่าย และคราบลายนิ้วมือก็ติดง่ายมาก

วิดีโอรีวิว

สรุปรีวิว

REVIEW OVERVIEW

Pilot Vanishing Point

ความเห็นภาพรวม

ปากกาที่มีแนวคิดทางวิศวกรรมที่ดี การออกแบบที่แปลก แต่บังคับให้ผู้ใช้ต้องเขียนในทางใดทางหนึ่งมากเกินไป นอกจากนั้นยังล้างและดูแลรักษาในส่วนสำคัญได้ยาก, Nib unit มีราคาแพง, และเป็นรอยง่ายมากกว่าที่คิด
Patranun Thaniyavarn Limudomporn
Patranun Thaniyavarn Limudompornhttps://www.patranun.com/
เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา คนเดินดิน เรียนจบรัฐศาสตร์ ชอบปากกามาตั้งแต่เด็กๆ แต่ไม่ค่อยได้บอกให้ใครรู้ เริ่มใช้ปากกาหมึกซึมมาตั้งแต่ระดับประถม และใช้ปากกาลูกลื่น Montblanc Generation เป็นปากกาประจำตัว เลิกใช้ปากกาหมึกซึมไประยะหนึ่งก่อนกลับมาใช้ใหม่เพราะเพื่อนฝูงชักชวน แต่ก็ยังวนเวียนกับปากการะดับพรีเมียมเช่นเคย

ติดตามเราบน Facebook

เนื้อหายอดนิยม

บทความที่เกี่ยวข้อง

- Advertisement -
ปากกาที่มีแนวคิดทางวิศวกรรมที่ดี การออกแบบที่แปลก แต่บังคับให้ผู้ใช้ต้องเขียนในทางใดทางหนึ่งมากเกินไป นอกจากนั้นยังล้างและดูแลรักษาในส่วนสำคัญได้ยาก, Nib unit มีราคาแพง, และเป็นรอยง่ายมากกว่าที่คิดรีวิวปากกาหมึกซึม Pilot Vanishing Point